วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ใบงาน

ใบงานที่ 13
กระผมไม่ได้ไปทัศนศึกษาครับ เพราะงานที่โรงเรียนยุ่งมาก แต่ก็มีความรู้สึกเสียดายครับ เลยไม่สามารถสรุปงานส่งได้

ใบงานที่ 12
สรุปการเรียนรู้ การใช้ spss for window วันที่ 26 ธันวาคม 25521. เปิดโปรแกรม SPSS 11.5 For Window2. ไปที่ Variable view เพื่อกำหนดค่าตัวแปร และไปที่ Data view เพื่อใส่ข้อมูล โดย- Variable view สร้างรหัสและการกำหนดค่าตัวแปร เช่น ตัวแปร sex เพศ ให้ 1 แทน ชาย และ 2 แทน หญิง , ageอายุ 1 แทน 20- 29 ปี 2 แทน 30-39 ปี 3 แทน...,degree การศึกษา ให้ 1 แทน ปริญญาตรี 2 แทน ปริญญาโท 3 แทน....เป็นต้น- สร้างรหัสกำหนดค่าความพึงพอใจที่สอบถาม เช่น ความพึงพอใจต่อการให้บริการด้านวิชาการ แทนด้วย a ระดับความพึงพอใจ มากที่สุด แทนด้วย a1 มาก แทนด้วย a2 น้อยแทนด้วย a3 , ความพึงพอใจต่ออาคารสถานที่ แทนด้วย b ระดับความพึงพอใจ มากที่สุด แทนด้วย b1 มาก แทนด้วย b2 น้อยแทนด้วย b3 เป็ฯต้น- Data view นำแบบสอบถามมาลงคะแนนความถึ่(บันทึกข้อมูล)ให้ครบถ้วน- เมื่อบันทึกเสร็จแล้ว ไปที่ Transform เลือก compute...ไปหาค่าฉลี่ย ของข้อมูล 3. การวิเคราะห์ข้อมูล- คลิกไปที่ Analyze- คลิก Reports เมนูย่อย Olap Cubes ในช่อง Grouping Variable (s) : ใส่ตัวแปรจัดกลุ่ม (Norminal) ส่วนช่อง Summary Vaiable (s) ใส่ตัวแปรเชิงปริมาณ (Scale) : หลังจากนั้นคลิกไปที่ช่อง Statistics ก็จะปรากฏหน้าต่าง แล้วคลิกปุ่ม Continue และคลิก OK โปรแกรมประมวลผลแสดงหน้าต่าง Output ผลที่ได้จะเป็นไปตามตารางพื้นฐานต่าง ๆ ของตัวแปรตามที่เราเลือกเอาไว้4. การแจกแจงความถี่และสถิติพื้นฐาน- เปิดข้อมูลเดิมที่ทำเอกไว้ก่อนแล้ว- คลิกเมนูหลัก Analyze เมนูสำรอง Descriptive Statistic และเมนูย่อย Frequenciesจะปรากฏหน้าต่าง Frequencies หลังจากนั้นถ้าหากจะหาความถี่ตัวแปร อายุ ก็ให้คลิกที่คำว่าอายุ ในช่องซ้ายแล้วคลิกลูกศรตรงกลาง หลังจากนั้นก็ไปคลิกที่ปุ่ม Statistics ก็จะปรากฏหน้าต่าง Frequencies : Statistice เราก็สามารถที่จะเลือกสถิติที่ต้องการได้ โดยคลิกเครื่องหมาย ถูก ในสี่เหลี่ยมด้านหน้าสถิติที่ต้องการ แล้วคลิก Add หลังจากนั้นก็ใส่คำที่ต้องการหา แล้วคลิกปุ่ม Add อีกครั้ง ส่วนสถิติอื่น ๆ ก็สามารถจะเลือกคำนวณได้ตามความต้องการ เช่น Mean : แสดงค่าเฉลี่ย , Median : แสดงค่ามัธยฐาน,Mode : แสดงค่าฐานนิยม, Sum : แสดงค่าผลรวม, Range : แสดงค่าพิสัย, Minimum : แสดงค่าต่ำสุด,Maximum : แสดงค่าสูงสุด เป็นต้น เมื่อคลิกสถิติที่ต้องการแสดงผลแล้วก็คลิกปุ่ม Continue และถ้าหากต้องการสร้างกราฟให้ไปคลิก ที่หน้าต่าง Frequencies แล้วคลิกปุ่ม Chats ก็จะปรากฏหน้าต่าง requencies : Chart ออกมา เราก็สามารถที่จะดำเนินการขั้นต่อไปได้




ใบงานที่ 11
ความคิดเห็นต่ออาจารย์อภิชาติ และการเรียนการสอน ด้านบุคลิกภาพ : รูปร่างสง่าสมส่วน แต่งกายสุภาพ สะอาด ดูดี คล่องแคล่ว
ด้านอารมณ์ : สุขุม จริงจัง ด้านสังคม : เป็นที่เคารพรักของลูกศิษย์ เข้ากับลูกศิษย์ได้ดี ด้านการสอน : อาจารย์มีความตั้งใจในการให้ความรู้สูง และมีความคาดหวัง ต่อนักศึกษาสูง ทำให้นักศึกษากังวลกับงานในวิชาเรียน






ใบงานที่10
ประวัติของนายวันชัย แก้วประสมสถานที่เกิด อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ที่อยู่ปัจจุบัน 210หมู่ที่ 2 ตำบลไม้เรียง อำเภอฉวาง
จังหวัดนครศรีธรรมราช 80260สถานที่ทำงาน โรงเรียนเจริญมิตร อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราชการศึกษา -ระดับประถมศึกษา โรงเรียนบ้านคลองรอ อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช-ระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก อำเภอฉวาง-ระดับปริญญาตรี วิทยาศาสตร์บัณฑิต สถิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง2543การทำงาน
ครูโรงเรียนเจริญมิตร



















ใบงานที่ 9คุณลักษณะของผู้บริหารแบบมืออาชีพในยุคปัจจุบัน
จากประสบการณ์ในการทำงานทางด้านการศึกษาและจากการศึกษาต่าง ๆ ที่ผ่านมา พบว่าผู้บริหารที่ดี(มืออาชีพ)นั้น ควรจะมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในแต่ละด้าน ได้แก่1. การมีภาวะผู้นำ ซึ่งจะต้องมีองค์ประกอบของความรู้ความเข้าใจในการบริหารงาน รู้จักตัดสินใจ สามารถนำเอาวิธีการและกลยุทธในการแก้ไขปัญหามาใช้ในการปฎิบัติงานในงานได้ และเป็นบุคคลที่มีความสามารถในการเป็นผู้นำที่กำหนดทิศทางขององค์กรและเพื่อนร่วมงานได้เป็นอย่างดี สามารถสร้างพลังในการทำงานเป็นทีม และการมีส่วนร่วมของเพื่อนร่วมงาน ตลอดจนเป็นผู้ที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นต้น2. เป็นบุคคลที่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีและมีความรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ที่ได้รับหรืออยู่ในขอบข่ายของภารกิจที่รับผิดชอบ3. มีทักษะในการสื่อสารที่เป็นเลิศ ที่สามารถสื่อสารทั้งทางตรง ทางอ้อม ที่ทำให้เพื่อนร่วมงานหรือผู้ที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาสามารถเข้าใจง่าย และเข้าถึงในสิ่งที่เราต้องการสื่อสาร4. เป็นบุคคลที่มีวิสัยทัศน์ มีความคิดและมุมมองที่กว้าง และเป็นผู้ที่มองการณ์ไกล5. เป็นผู้ที่ยอมรับและเป็นผู้สร้างกระบวนการเรียนรู้ที่จะนำองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้หลักการบริหารที่ผู้บริหารผู้บริหารมืออาชีพต้องมีเพื่อจะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จนั้น ผู้บริหารควรมีหลักการในการทำงานที่มีความชัดเจน ในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ 1. การกำหนดนโยบายบนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมที่มีความคมชัด ซึ่งสามารถที่จะนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมที่ต่อเนื่องและบังเกิดผล 2. มีความรอบรู้และสามารถสั่งการหรือมอบหมายงานรวมทั้งการสื่อสารในองค์กร ที่ทำให้เกิดการยอมรับในกลุ่มเพื่อนร่วมงานและผู้ที่อยู่ใต้การบังคับบัญชา ที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้ง่าย พร้อมที่จะรับนโยบายหรือรับคำสั่งไปใช้ในทางปฏิบัติได้ 3. ผู้บริหารจะต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่มีความสามารถบริหารจัดการในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในองค์กรให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นระบบและมีกระบวนการ โดยผ่านขั้นตอนของการเรียนรู้ร่วมกันในหมู่คณะ เพื่อนร่วมงาน หรือ ผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่ส่วนรวมขององค์กร ซึ่งจะเป็นพลังขับเคลื่อนไปสู่การสร้างการยอมรับของคนในองค์กรนอกจากนี้ผู้บริหารจะต้องนำหลักธรรมาภิบาลมาใช้ในการบริหารงาน เพื่อเป็นหลักในการทำงานที่สร้างบรรทัดฐานที่ดีขององค์กร และนำสามารถนำองค์กรไปสู่เป้าหมายที่พึงประสงค์ โดยหลักธรรมาภิบาลประกอบด้วยหลักการ 6 ประการ ดังนี้ 1. หลักนิติธรรม หมายถึง การปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ โดยถือว่าเป็นการปกครองภายใต้กฎหมายมิใช่ตามอำเภอใจ หรืออำนาจของ ตัวบุคคล จะต้องคำนึงถึงความเป็นธรรม และความยุติธรรม รวมทั้งมีความรัดกุมและ รวดเร็วด้วย2. หลักคุณธรรม หมายถึง การยึดมั่นในความถูกต้อง ดีงาม การส่งเสริม ให้บุคลากรพัฒนาตนเอง ไปพร้อมกัน เพื่อให้บุคลากรมีความซื่อสัตย์ จริงใจ ขยัน อดทน มีระเบียบ วินัย ประกอบอาชีพสุจริต เป็นนิสัย ประจำชาติ3. หลักความโปร่งใส หมายถึง ความโปร่งใส พอเทียบได้ว่ามีความหมาย ตรงข้าม หรือเกือบตรงข้าม กับการทุจริต คอร์รัปชั่น โดยที่เรื่องทุจริต คอร์รัปชั่น ให้มี ความหมายในเชิงลบ และความน่าสะพรึงกลัวแฝงอยู่ ความโปร่งใสเป็นคำศัพท์ที่ให้แง่มุมในเชิงบวก และให้ความสนใจในเชิงสงบสุข ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ได้สะดวกและเข้าใจง่าย และมีกระบวนการให้ประชาชนตรวจสอบความถูกต้องอย่างชัดเจน4. หลักการมีส่วนร่วม หมายถึง การให้โอกาสให้บุคลากรหรือผู้มี ส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมทางการ บริหารจัดการเกี่ยวกับการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ เช่น เป็นคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และหรือ คณะทำงานโดยให้ข้อมูล ความคิดเห็น แนะนำ ปรึกษา ร่วมวางแผนและร่วมปฏิบัติ5. หลักความรับผิดชอบ หมายถึง การตระหนักในสิทธิและหน้าที่ ความสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคม การใส่ใจปัญหาการบริหารจัดการ การกระตือรือร้นในการแก้ปัญหา และเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง รวมทั้งความกล้าที่จะยอมรับผลดีและผลเสียจากกระทำของตนเอง6. หลักความคุ้มค่า หมายถึง การบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรที่มีจำกัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม โดยรณรงค์ให้บุคลากรมีความประหยัด ใช้วัสดุอุปกรณ์อย่างคุ้มค่า และรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้สมบูรณ์ยั่งยืน ในขณะเดียวกัน นักบริหารที่ดี ควรมีภาวการณ์เป็นผู้ที่สามารถจัดการการเปลี่ยนแปลง และความขัดแย้ง ในองค์กรได้โดยก่อให้เกิดการยอมรับอย่างสร้างสรรค์ ไม่ให้เกิดความรู้สึกที่สูญเสียเป็นการแก้ปัญหาแบบชนะ-ชนะ (Win - Win Solution) ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้บุคลากรในองค์กรเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ องค์กรแห่งการเรียนรู้และพัฒนา (Learning Organization) อยู่อย่างต่อเนื่อง







ใบงานที่ 8

1.สถิติ (Statistics) หมายถึงตัวเลขที่ใช้บรรยายเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริง (facts) ของเรื่องต่างๆ ที่เราต้องการศึกษา เช่น สถิติจำนวนผู้ป่วย สถิติจำนวนคนเกิด สถิติจำนวนคนตาย เป็นต้น2.ค่าเฉลี่ย หรือค่ามัชฌิมเลขคณิต (Arithmetic mean) คือค่าเฉลี่ยของข้อมูลทั้งหมด ความหมายเป็นสถิติเชิงพรรณนา/บรรยาย3.ค่ามัธยฐาน (Median) คือค่าของข้อมูลที่จุดกึ่งกลางของการกระจายของข้อมูลโดย 50% ของข้อมูลมี ค่าสูงกว่าค่า มัธยฐาน และ 50% มีค่าต่ำกว่าค่ามัธยฐาน และมักใช้ในกรณีที่ การกระจายของข้อมูลมีลักษณะไม่เท่ากันทั้งสองข้าง (Asymmetry) หรือมีลักษณะเบ้ไปทางซ้ายหรือทางขวาเป็นสถิติเชิงพรรณนา/บรรยาย4.ค่าฐานนิยม (Mode) คือค่าของข้อมูลที่มีความถี่มากที่สุดในข้อมูลของชุดนั้นๆ ซึ่งอาจมีมากกว่าหนึ่งค่าหรือไม่มีเลยก็ได้ เป็นสถิติเชิงพรรณนา/บรรยาย5.ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เป็นการวัดการกระจายของข้อมูลว่าจะเบี่ยงเบนไปจากค่าเฉลี่ยมากน้อยเท่าใด เป็นสถิติเชิงพรรณนา/บรรยาย6. ประชากร (Population) หมายถึง กลุ่มสมาชิกทั้งหมดที่ต้องการศึกษา อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ได้ ใช้สัญลักษณ์ “N” แทนจำนวนประชากร7. กลุ่มตัวอย่าง (Sample) หมายถึง กลุ่มสมาชิกที่ถูกเลือกมาจากประชากรด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งเพื่อเป็นตัวแทนในการศึกษาและเก็บข้อมูล ใช้สัญลักษณ์ “n” แทนสมาชิกของกลุ่มตัวอย่างประชากรและกลุ่มตัวอย่างต่างกัน เพราะกลุ่มตัวอย่างเป็นเพียงสมาชิกส่วนหนึ่งของประชากรที่ถูกคัดเลือกมาใช้ในการศึกษาด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ตัวอย่าง เช่น ถ้าครุผู้สอนต้องการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น ม.2 ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 ซึ่งนักเรียนมีจำนวนมาก ครูผู้สอนในฐานะนักวิจัยไม่สามารถศึกษาจากประชากร(นักเรียนชั้น ม.2)ทั้งหมดได้จึ้งคัดเลือกนักเรียนชั้น ม.2 มาบางส่วนโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างโดยอาศัยหลักความน่าจะเป็น โดยใช้ตารางเลขสุ่ม หรือคำนวนด้วยสูตรอื่นๆ ผลที่ได้จากการศึกษาจะอ้างอิงไปสู่ประชากรทั้งหมดได้8. มาตรนามบัญญัติ (Nominal Scale)-เป็นมาตรวัดที่หยาบที่สุด จัดข้อมูลออกเป็นกลุ่มๆ แยกตามประเภทหรือชนิด-สถิติ : ความถี่ ร้อยละ ฐานนิยม หรือใช้สถิติแบบนอนพาราเมตริก-ตัวแปร : เป็นตัวแปรที่ไม่มีขนาด ไม่มีความเท่ากันของช่วง และไม่มีศูนย์สมบูรณ์ มาตรเรียงลำดับ (Ordinal Scale)-เป็นมาตรวัดที่ใช้กับข้อมูลที่สามารถจัดเรียงอันดับความสำคัญหรือสามารถเปรียบเทียบกันได้-สถิติ : ฐานนิยม มัธยฐาน พิสัย เปอร์เซนต์ไทล์ และสถิติแบบนอนพาราเมตริก-ตัวแปร : เป็นตัวแปรที่มีการจัดลำดับข้อมูลจากมากไปน้อย หรือจากน้อยไปมากได้ แต่ไม่ได้บอกถึงปริมาณแต่ละอันดับว่ามากน้อยเท่าใด ไม่มีความเท่ากันของช่วงคะแนน และไม่มีศูนย์สมบูรณ์มาตรอันตรภาค (Interval Scale)-เป็นมาตรวัดที่สามารถบอกได้ทั้งทิศทางและขนาดของ ความแตกต่างของข้อมูล มาตรวัดนี้ไม่มีศูนย์ที่แท้จริง (absolute zero)-สถิติ : ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน-ตัวแปร : เป็นตัวแปรที่สามารถบอกระยะห่างของตัวเลข 2 ตัว ว่ามีความแตกต่างกันมากน้อยเท่าใด มีเกณฑ์อยู่กับสิ่งที่เรียกว่าศูนย์สมมติ มาตรอัตราส่วน (Ratio Scale)-เป็นมาตรวัดที่มีลักษณะสมบูรณ์ทุกอย่าง ดีกว่ามาตรวัดอันตรภาคตรงที่มาตรการวัดนี้มีศูนย์ที่แท้จริง-สถิติ : สถิติที่ใช้กับการวัดในระดับนี้ใช้ได้ทุกวิธีที่มีอยู่-ตัวแปร : เป็นตัวแปรที่มีระดับการวัดเหมือนมาตราอันตรภาค และมีศูนย์สมบูรณ์ ข้อมูลที่เป็นอัตราส่วนสามารถนำมาบวก ลบ คูณ หาร ได้ และสามารถใช้ได้กับสถิติทุกประเภท9.ตัวแปร หมายถึง สิ่งที่เปลี่ยนค่าไปได้หลายค่า เป็นลักษณะคุณภาพ คุณสมบัติของบุคคล สิ่งของ หรือสิ่งที่สนใจจะนำมาศึกษาที่สามารถนับได้ วัดได้ หรือหมายถึง สิ่งที่แปรเปลี่ยนไปตามระยะเวลา แปรเปลี่ยนได้หลายค่า หรือมากกว่า 1 ลักษณะ เช่นเชื้อชาติ แปรค่าได้เป็น ไทย , จีน , ….ตัวแปรต้น หรือตัวแปรอิสระ (independent variable) เป็นตัวแปรเหตุที่ทำให้ผลตามมา หรือทำให้สิ่งที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะ หรือ แปรสภาพไป ตัวแปรต้นจะมีลักษณะ เป็นตัวแปรเหตุ เป็นตัวแปรที่มาก่อน เป็นตัวแปรที่จัดกระทำในการทดลอง มีลักษณะเป็นตัวทำนาย เป็นตัวกระตุ้นหรือ มีความคงทน ถาวรตัวแปรตาม (dependent variable) เป็นตัวแปรที่มีผลมาจากตัวแปรต้น ซึ่งตัวแปรตามจะมีลักษณะ เป็นตัวแปรที่เป็นผลเกิดขึ้นภายหลัง เกิดขึ้นเองไม่สามารถจัดกระทำได้ในการทดลอง เป็นตัวถูกทำนาย เป็นตัวตอบสนอง เปลี่ยนแปลงได้ง่ายตัวอย่าง เช่น การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น ม.2 โดยใช้การสอนตามคู่มือครูกับการสอนโดยการใช้ชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษแบบมุ่งประสบการณ์ทางภาษาตัวแปรต้น คือ การสอนตามคู่มือครูกับการสอนโดยการใช้ชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษแบบมุ่งประสบการณ์ทางภาษาตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ 10.สมมติฐาน คือ การคาดการณ์ผลการวิจัยไว้ล่วงหน้าโดยมีทฤษฎีหรือข้อค้นพบจากผลงานวิจัยที่ผ่านมามารองรับ เป็นคำตอบที่คาดการณ์ไว้ก่อนที่จะดำเนินการวิจัยจริง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ - สมมติฐานการวิจัย เป็นข้อความที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ที่ผู้วิจัยคาดว่าจะเกิดขึ้นมักจะเขียนในเชิงความเรียงธรรม- สมมติฐานทางสถิติ เป็นการนำข้อความจากสมมติฐานการวิจัยมาเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ทางสถิติ11. T-test เป็นการทดสอบนัยสำคัญของค่าเฉลี่ย เหมาะสำหรับถ้าตัวแปรเป็นตัวแปรเชิงปริมาณที่สามารถวัดค่าได้ F – test (หรือ ANOVA) เป็นการทดสอบนัยสำคัญของค่าเฉลี่ยตั้งแต่สองกลุ่มขึ้นไปT-test และ F – test เหมือนกันคือเป็นการทดสอบนัยสำคัญของค่าเฉลี่ย ต่างกันคือ F – test เป็นการทดสอบนัยสำคัญของค่าเฉลี่ยของข้อมูลตั้งแต่ 2 กลุ่มขึ้นไป



ใบงานที่ 7
(1) การใส่ปฏิทิน(2) การใส่นาฬิกา(3) การทำสไสด์(4) การปรับแต่งสีใน Webboard(5) การใส่เพลงลงใน Webboardสรุปแต่ละประเด็นย่อ ๆ ในการเรียนรู้ การตกแต่งบล๊อก ด้วยปฏิทิน นาฬิกา สไลด์รูปต่างๆ เปลี่ยนสีในรูปแบบ และเพลงนั้น จำเป็นจะต้องใช้โค้ด(ภาษา HTML) ซึ่งเป็นโค้ดที่ต้องเพิ่มใน Gadget ซึ่งเมนูการเพิ่มจะอยู่ที่ แผงควบคุม ---> รูปแบบ ---> เพิ่ม Gadget ---> เพิ่มจาวา/HTML ---> วางโค้ดของปฎิทิน/นาฬิกา/เพลงที่เราได้คัดลอกมาจากโค้ดที่เราค้นหาโดยใช้ Google ---> แล้วสั่งบันทึก ซึ่งจะกลับมาที่หน้ารูปแบบ--->สั่งบันทึกอีกครั้ง--->จะขึ้นข้อความว่า "ได้บันทึกการเปลี่ยนแปลงแล้ว ดูบล๊อก" ---> ซึ่งสามารถดูบล๊อกได้ว่าเป็นไปตามที่ต้องการหรือไม่สำหรับการค้นหาโค้ด โดยใช้ Google นั้น เมื่อเข้าเว็บ Google แล้วใช้คำค้นหา เช่น โค้ดเพลง/โค้ดปฏิทินแต่งบล๊อก/โค้ดนาฬิกา / โค้ดแต่งบล๊อก /หรือระบุเพลงที่ต้องการ โค้ดเพลง(ชื่อเพลง)เมื่อได้หน้าเว็บGoogle ที่ขึ้นผลการค้นหาแล้ว เลือกเปิดลิงค์ต่าง ๆ ก็จะได้หน้าเว็บบางเว็บอาจต้องดาวน์โหลดโค้ด บางเว็บก็ copy โค้ดได้เลย เมื่อได้โค้ดแล้ว select code แล้วนำไปวางใน Gadget ที่ได้สั่งเพิ่ม HTML/จาวาสคริปต์







ใบงานที่ 6 ประโยชน์ของใช้google
ประโยชน์ของ Googleประโยชน์ของ Google ในการบริการ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มได้ 3 กลุ่ม โดยแบ่งออกตามความสามารถในการทำงานในด้านต่างๆ ดังนี้1. บริการในกลุ่มดัชนีค้นหา(Search Engines) Google Web Search Features ประกอบด้วยบริการค้นหาต่อไปนี้ Book Search :· บริการค้นหาหนังสือแบบออนไลน์ ซึ่งเป็นบริการใหม่ของ Google ที่เพิ่งเปิดให้บริการกับแฟนหนังสือโดยเฉพาะ Cached Links· :บริการช่วยจับประเด็นหรือหัวเรื่องสำคัญของเว็บไซต์ที่คุณต้องการจะค้นหา · Calculator : เครื่องคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่คุณสามารถตั้งตัวเลข โดยคีย์ลงในช่องค้นหาของ Google แล้วคลิ้กหาคำตอบที่ต้องการได้เลย · Currency Conversion : บริการแปลงหน่วยมาตราเงินสำหรับระบบแลกเปลี่ยนเงินตรา · Definitions : หมวดคำศัพท์ที่คุณสามารถค้นหาความหมายของคำศัพท์ที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย · File Types : ดัชนีค้นหาสินค้าออนไลน์ทั่วทุกมุมโลก Groups :· ถ้าหากว่าคุณอยากรู้ข้อมูลข่าวสารที่มีคนโพสต์กันบนเว็บไซต์ สามารถค้นหาได้จากบริการนี้ I ‘m Feeling Lucky :· ปุ่มบริการดัชนีค้นหาที่ช่วยให้ค้นหาเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว และตรงประเด็น โดยข้ามลิงก์ของเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกตัดออกไป Images :· ระบบดัชนีค้นหารูปภาพที่คลิกได้ง่าย และเร็วทันใจ Local Search :· บริการค้นหาธุรกิจและบริการต่าง ๆ ที่เปิดในสหรัฐ อังกฤษ และแคนาดา · Movie : คุณสามารถเข้าไปดูรีวิวภาพยนตร์หรือว่าตารางโปรแกรมฉายแบบเรียลไทม์ได้จากฟีเจอร์นี้ · Music Search : ดัชนีค้นหาเพลงหรือว่าดนตรีที่มีให้บริการฟังเพลงออนไลน์หรือว่าดาวน์โหลดเพลงจากทั่วโลก News Headlines :· บริการที่ทำให้คุณสารารถรู้ข้อมูลข่าวสารทันในที่ส่งมาจากรอบโลกแบบเรียลไทม์ · PhoneBook : บริการค้นหาเบอร์โทรศัพท์และเลขที่บนท้องถนนของสหรัฐอเมริกา Q·&A : บริการใหม่ที่คุณอยากรู้อะไรเกี่ยวกับ Google บริการนี้ตอบปัญหาให้คุณได้ทุกเรื่อง Similar Pages :· บริการแสดงหน้าเว็บเพจที่แสดงผลในหน้าเว็บที่เกี่ยวข้อง Site Search :· กำหนดขอบเขตของการค้นหาเว็บไซต์ให้แคบลง Spell Checker :· เครื่องมือช่วยในการสะกดคำ Stock Quotes :· ดัชนีค้นหาสำหรับราคาหุ้นแบบเรียลไทม์ Travel Information :· บริการตรวจสอบสายการบินในสหรัฐ รวมถึงรายงานสภาพอากาศของสนามบิน · Weather : บริการตรวจสอบสภาพอากาศและการพยากรณ์อากาศในทุกรัฐของสหรัฐ Web· Page Translation : บริการแปลหน้าเอกสารภาษาอังกฤษเป็นภาษาอื่น ๆ2. บริการในกลุ่ม Google Services Alerts :· Answer :·บริการแจ้งเตือนข่าวสารและผลการค้นหาผ่านอีเมล์แบบออนไลน์ บริการตอบคำถามให้กับคุณได้ทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ โดยนักวิจัยชื่อดังกว่า 500 คน Blog Search : บริการค้นหาหัวข้อเรื่องที่เป็น Blog· Catalogs :·ในประเด็นที่คุณสนใจ บริการค้นหารายการสินค้าที่คุณสนใจและต้องการจะสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ · Directory : บริการค้นหาสาระสำคัญต่าง ๆ ที่อยู่บนเว็บไซต์ Labs :· บริการใหม่ ๆ ของ Google ที่คุณสามารถเข้าไปทดสอบใช้งานได้ฟรี ก่อนที่จะออกมาเป็นชุดเต็มของโปรแกรม Mobile : บริการหลักของ Google· ที่สามารถนำไปใช้ได้กับเครื่องโทรศัพท์มือถือ เช่น บริการดัชนีค้นหาเอกสาร รูปภาพ หรือส่ง SMS News : บริการรายงานข้อมูลข่าวสารใหม่ ๆ· จากทั่วทุกมุมโลกที่มีให้คุณได้อ่านก่อนใคร


Scholar :· บริการค้นหาเอกสารงานวิจัยใหม่ ๆ รวมทั้งบทคัดย่อจากห้องสมุดใหญ่ ๆ มากมาย · Special Searches : บริการค้นหาประเด็นสาธารณะในส่วนที่เป็นองค์กร หรือว่าสถาบันที่ไม่หวังผลกำไรต่างๆ รวมถึงบริการค้นหาเว็บไซต์ของสถานศึกษาต่าง ๆ ที่มีรายละเอียดในเรื่องของหลักสูตรการสอนและระเบียบวิธีการเข้าศึกษาต่อทั้งในระดับ
โรงเรียนและมหาวิทยาลัย · Video : บริการค้นหารายการทีวีทางโทรทัศน์ เกมโชว์ มิวสิควิดีโอ ที่คุณสามารถเช่าชั่วโมงมาดูกันแบบออนไลน์ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณ3. บริการในกลุ่ม Google Tools Blogger :· เว็บไซต์ที่มีเครื่องมือสำหรับสร้าง Blogger ของคุณเอง Code :· เครื่องมือสำหรับดาวน์โหลด APls และ Source code Desktop :· เครื่องมือสำหรับช่วยค้นหาไฟล์และข้อมูลต่าง ๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ · Earth : เครื่องมือที่ทำให้คุณสามารถค้นหาแผนที่โลกจากดาวเทียม · Gmail : บริการอีเมล์รุ่นทดสอบของ Google ที่มีความจุกว่า 2.6 กิกะไบต์ · ·Pack : ชุดเครื่องมือรวมฮิตของ Google รวมถึงบราวเซอร์สุดเก่ง Firetox Picasa : เครื่องมือสำหรับการบริหารและจัดการรูปภาพทั้งหมดที่มีอยู่ในคอมพิวเตอร์ · Local for Mobile : เครื่องมือสำหรับค้นหาแผนที่ของสถานที่ต่าง ๆ บนโทรศัพท์มือถือ Talk : เครื่องมือที่ทำให้คุณสามารถพูดคุย ส่งอีเมล์· กับเพื่อนของคุณแบบเรียลไทม์ออนไลน์ Toobar :· กล่องเครื่องมือที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณสามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลได้โดยตรง โดยไม่ต้องเข้าไปที่เว็บไซต์ของ Google Translate :· เครื่องมือที่ทำให้คุณสามารถดูเว็บไซต์ได้หลาย ๆ ภาษา Labs :· กลุ่มของชุดเครื่องมือใหม่ ๆ ของ Google ที่คุณสามารถเข้าไปทดลองดาวน์โหลดได้ฟรี ที่มา:http://learners.in.th/blog/meaw-3/116386เพียงเข้า www.google.comGoogle คิดเลขได้ เช่น 25+36= แล้วกด Enter (ได้ทั้ง + - * (คู ณ) / (หาร), )Google คิดเลขยกกำลังได้ เช่น 2^3 เช่นเราอยากรู้ว่า 2 กำลัง 3 ได้เท่ากับเท่าไหร่ พิมพ์ 2 ตามด้วย "^" แล้วก็ 3Google แปลภาษาได้ เพียงแค่ กด "แปลภาษา" ด้านบนเว็บ หรือพิมพ์ว่า google translateGoogle maps อันนี้ เป็น แผนที่ประเทศไทย (มีทั้ง ไทย และ ประเทศอื่นๆ ค่ะ)Google Gmail หรือ Google Mail เป็นบริการอีเมลล์ฟรีและมีขนาดพื้นที่เก็บเมลล์ใหญ่จุใจ ที่สำคัญ พี่Google ให้ใช้ฟรีซะด้วยสิ<< มีเป็นบางอันGoogle Search ได้หลายๆอย่าง หรือ จะ บอก ว่า ทุกอย่าง ก็ได้Google ค้นหาภาพได้เยอะมากที่สุดGoogle การหาแบบเฉพาะเจาะจง 55+ โดยการใช้ " " เช่น ถ้าเราต้องการค้นหาเกี่ยวกับโรงเรียนของเรา โรงเรียน"เลยพิทย์" เมื่อใช้เครื่องหมาย " " เราก็จะเจอแต่โรงเรียนนนั้น

Google Earth Enterprise - ภาพรวมสำรวจข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ด้วยประสิทธิภาพการทำงานของ Google Earth Enterprise ซึ่งมีการแสดงผลภาพโลกเป็นแบบ 3D ที่จะรวม จัดการ และเผยแพร่ข้อมูลตำแหน่งองค์กรของคุณ Google Earth Enterprise จะช่วยให้คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Google Earth ภายในองค์กร รวมข้อมูลขององค์กรด้วยข้อมูล Google Earth ที่ส่งมาเป็น ASP หรือ ให้พื้นที่ชุดข้อมูลที่สมบูรณ์แบบของคุณเอง ในขณะนี้ ด้วยการสนับสนุนการเข้าถึงที่ใช้เบราว์เซอร์แบบ 2D โดยใช้ Google Maps API ข้อมูลพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่มีประโยชน์ของคุณจะถูกรวมไว้ในแอปพลิเคชันที่ใช้เว็บหรือผู้ใช้ทุกรายสามารถดูข้อมูลนี้ได้ ไม่ว่าซอฟต์แวร์โปรแกรมของผู้ใช้จะเป็นอย่างไรองค์ประกอบโซลูชันของ Google Earth Enterprise ประกอบไปด้วยองค์ประกอบสามสิ่งต่อไปนี้:Google Earth Fusion มีไว้เพื่อเก็บ สร้างรูปแบบ และจัดการข้อมูลลงในโลกที่ผู้ใช้สามารถมองเห็นได้อย่างสมบูรณ์ หรือแผนที่ที่สามารถเรียกดูได้แบบ 2DGoogle Earth Server มีไว้เพื่อเก็บและส่งข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ของผู้ใช้โปรแกรม Google Earth Enterprise หรือมุมมองแผนที่แบบ 2D ที่ใช้เบราว์เซอร์ มีไว้สำหรับดู พิมพ์ ค้นหา และเขียนข้อมูลคุณลักษณะใหม่การใช้งานมุมมองแผนที่แบบ 2D ที่ใช้เบราว์เซอร์ของ Google Earth Enterprise โดยใช้สถาปัตยกรรม AJAX ของ Google Maps APIกรอบงานการค้นหาที่ปรับปรุงใหม่ทำให้สามารถใช้งานบริการค้นหาต่างๆ มากมายที่ผสานรวมไว้ได้ โดยผ่านปลั๊กอิน Java รวมถึง Google Search Applianceการจัดการส่ง KML- ซึ่งรวมถึงภาพที่กำหนดพื้นที่ Google SketchUp อาคารแบบ 3D และเลเยอร์ข้อมูลแบบไดนามิกสร้าง จัดเก็บ และให้โลกที่หลากหลายแก่ผู้ใช้ของคุณความท้าทายขององค์กรการลงทุนครั้งใหญ่ในการจัดหาและเก็บข้อมูลพิกัดพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่มีเพียงผู้ดูแลด้านเทคนิคไม่กี่รายเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ในโซลูชันที่ง่ายและรวดเร็วจัดการและแจกจ่ายข้อมูลทางภูมิศาสตร์ขององค์กรโซลูชันเทคโนโลยีของ Google Earth ได้เพิ่มค่าให้กับการลงทุนด้านพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ GIS และ LBS ในปัจจุบันขององค์กรของคุณ ด้วยตัวเลือกที่มีหลายรูปแบบ การค้นหาจากลักษณะเฉพาะ ตัวเลือกการให้บริการพื้นที่จำนวนมาก รวมถึงการใช้โปรแกรม Google Earth และส่วนติดต่อ Google Maps ที่แสนสะดวก โซลูชัน Google Earth Enterprise ผสานรวมและทำงานกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ภูมิศาสตร์ GIS และ LBS และทำให้รอบการทำงานของคุณสมบูรณ์ ด้วยการเผยแพร่ข้อมูลนี้แก่ผู้ใช้ในระบบที่ทำงานอย่างรวดเร็วและใช้งานง่าย เราขอแนะนำ Google Earth Enterprise Pro ซึ่งเป็นโซลูชันสำหรับองค์กรแบบเต็มรูปแบบสำหรับการเขียนและให้บริการฐานข้อมูลเกี่ยวกับโลกแบบสแตนด์อะโลน ที่รวมข้อมูลรูปภาพ ภูมิประเทศ เวกเตอร์ และ KML นอกจากนี้ เราขอแนะนำ Google Earth Enterprise LT ซึ่งเป็นโซลูชันที่ใช้เวกเตอร์และ KML ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถใช้ข้อมูลในรูปแบบที่หลากหลายและให้บริการข้อมูลร่วมกับฐานข้อมูลสาธารณะของ Google Earth

สรุปการเรียน ครั้งที่ 4 วันที่ 28 พ.ย. 52
การค้นหาข้อมูล โดยเครื่อข่ายอินเตอร์เน็ต ได้แก่ Internet Explorer สามารถเข้าไปเพื่อการค้นหาข้อมูลต่าง ๆวิธีการค้นหาข้อมูลโดยใช้ http://www.google.com/ มีให้ค้นหาได้หลายรูปแบบ เช่นรูปภาพ แผนที่ แปลภาษา กูรู บล็อก Gmail เป็นต้น ดังน้นการใช้การค้นหาจะทำให้เราได้ข้อมูลตามที่ต้องการได้ไม่จำกัดWorld Wide Web คืออะไร- มีชื่อเรียกหลายแบบ ได้แก่ WWW, W3 หรือ Web- เป็นระบบสืบค้นข้อมูลข่าวสารในอินเทอร์เน็ต ที่นิยมมากที่สุด- ข้อมูลจะถูกเก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์ที่มีอยู่มากมาย ผู้ต้องการใช้สามารถเข้าไปสืบค้นดู- ข้อมูลในเวิลด์ไวด์เว็บ จะอยู่ในแบบมัลติมีเดีย ที่มีทั้งตัวอักษร รูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหวแบบวิดีโอ โปรแกรม Internet Explorer-Internet Explorer เป็น Web browser ของบริษัท Microsoft พัฒนามาจาก NCSA Mosaic เช่นเดียวกับ Netscape Navigator- มีประสิทธิภาพสูง ใช้ง่าย มีฟังก์ชันการทำงานครบ คล้ายกับโปรแกรม Netscape Navigator- เป็นโปรแกรมที่จัดให้มาพร้อมกับโปรแกรม Windows- เป็น Web browser ที่ได้รับความนิยมสูงสุดการเปิด Web site ที่ต้องการการไปยังเว็บที่ต้องการ ทำได้หลายวิธี- คลิกที่ช่อง Address พิมพ์ URL address ของเว็บไซต์ที่ต้องการติดต่อ แล้วกด Enter- IE จัดเก็บ address ที่เคยติดต่อหลังสุด 15 แห่งไว้ เราสามารถเรียกมาใช้ใหม่ได้จากการคลิกปุ่มสามเหลี่ยมทางขวาของช่อง Address- จากเมนู File เลือกคำสั่ง Open พิมพ์ URL address ของเว็บไซต์ที่ต้องการติดต่อ แล้วกด Enter หรือ คลิกปุ่ม OpenSearch Engine- Search Engine เป็นโปรแกรมช่วยค้นข้อมูลบน WWWโดยผู้ใช้กรอกคำ วลี หรือประโยคที่เราต้องการค้น (Keyword)- มีผู้จัดสร้างเว็บไซต์ขึ้นมา เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ ช่วยค้นสิ่งที่ต้องการได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว- ใน search engine จะมีโปรแกรมที่เรียกว่า crawlers หรือ robots หรือ spider ทำหน้าที่รวบรวม URL ของ เว็บเพจบน อินเทอร์เน็ต มาเก็บไว้ในฐานข้อมูลของตน เมื่อพบเว็บเพจใหม่ ที่ยังไม่มีโดยอัตโนมัติ- ควรใช้ search engine หลายโปรแกรมร่วมกัน เนื่องจากแต่ละโปรแกรมมีวิธีสืบค้นข้อมูลต่างกัน การสืบค้นข้อมูลในเครือข่ายเวิลด์ไวด์เว็บ- ข้อมูลที่สามารถสืบค้นได้อาจเป็น แฟ้มรูปภาพ แฟ้มภาพเคลื่อนไหว แฟ้มข้อมูลเสียง แฟ้มข้อมูลเอกสารประเภทต่างๆ ได้แก่ เอกสาร HTML เอกสาร Word เอกสาร pdf หรือ แฟ้มข้อมูลประเภทอื่นๆ- เมื่อผู้ใช้ต้องการค้นข้อมูลเรื่องใด ก็เพียงแต่สร้างการเชื่อมต่อไปยังเว็บของผู้ให้บริการสืบค้นข้อมูล (Search Engine) และพิมพ์คําสําคัญ (Keyword) ที่ต้องการใช้ในการค้นหา- โปรแกรมสืบค้นจะทําการตรวจสอบกับฐานข้อมูลที่มีอยู่และรายงานผลเป็น URL ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งตัวอย่างข้อความของเอกสารเว็บที่อยู่ใกล้กับคําสําคัญนั้น

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของกูเกิล

งานชิ้นที่ 2
ประโยชน์ของ google

skip to main | skip to sidebar
ประโยชน์ของ Google ในการบริการ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มได้ 3 กลุ่ม โดยแบ่งออกตามความสามารถในการทำงานในด้านต่างๆ ดังนี้
1. บริการในกลุ่มดัชนีค้นหา (Search Engines) Google Web Search Features ประกอบด้วยบริการค้นหาต่อไปนี้
1.1 Book Search :· บริการค้นหาหนังสือแบบออนไลน์ ซึ่งเป็นบริการใหม่ของ
Google ที่เพิ่งเปิดให้บริการกับแฟนหนังสือโดยเฉพาะ
1.2 Cached Links· :บริการช่วยจับประเด็นหรือหัวเรื่องสำคัญของเว็บไซต์ที่คุณ
ต้องการจะค้นหา
1.3 Calculator : เครื่องคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่คุณสามารถตั้งตัวเลข โดยคีย์
ลงในช่องค้นหาของ Google แล้วคลิ้กหาคำตอบที่ต้องการได้เลย
1.4 Currency Conversion : บริการแปลงหน่วยมาตราเงินสำหรับระบบแลกเปลี่ยน
เงินตรา
1.5 Definitions : หมวดคำศัพท์ที่คุณสามารถค้นหาความหมายของคำศัพท์ที่ต้องการ
ได้อย่างง่ายดาย
1.6 File Types : ดัชนีค้นหาสินค้าออนไลน์ทั่วทุกมุมโลก Groups :· ถ้าหากว่าคุณ
อยากรู้ข้อมูลข่าวสารที่มีคนโพสต์กันบนเว็บไซต์ สามารถค้นหาได้จากบริการนี้
1.7 I ‘m Feeling Lucky :· ปุ่มบริการดัชนีค้นหาที่ช่วยให้ค้นหาเว็บไซต์ได้อย่าง
รวดเร็ว และตรงประเด็น โดยข้ามลิงก์ของเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกตัดออกไป
1.8 Images :· ระบบดัชนีค้นหารูปภาพที่คลิกได้ง่าย และเร็วทันใจ
1.9 Local Search :· บริการค้นหาธุรกิจและบริการต่าง ๆ ที่เปิดในสหรัฐ อังกฤษ
และแคนาดา
1.10 Movie : คุณสามารถเข้าไปดูรีวิวภาพยนตร์หรือว่าตารางโปรแกรมฉายแบบ
เรียลไทม์ได้จากฟีเจอร์นี้
1.11 Music Search : ดัชนีค้นหาเพลงหรือว่าดนตรีที่มีให้บริการฟังเพลงออนไลน์
หรือว่าดาวน์โหลดเพลงจากทั่วโลก
1.12 News Headlines :· บริการที่ทำให้คุณสารารถรู้ข้อมูลข่าวสารทันในที่ส่งมา
จากรอบโลกแบบเรียลไทม์
1.13 PhoneBook : บริการค้นหาเบอร์โทรศัพท์และเลขที่บนท้องถนนของ
สหรัฐอเมริกา
1.14 Q·&A : บริการใหม่ที่คุณอยากรู้อะไรเกี่ยวกับ Google บริการนี้ตอบปัญหา
ให้คุณได้ทุกเรื่อง
1.15 Similar Pages :· บริการแสดงหน้าเว็บเพจที่แสดงผลในหน้าเว็บที่เกี่ยวข้อง
1.16 Site Search :· กำหนดขอบเขตของการค้นหาเว็บไซต์ให้แคบลง
1.17 Spell Checker :· เครื่องมือช่วยในการสะกดคำ
1.18 Stock Quotes :· ดัชนีค้นหาสำหรับราคาหุ้นแบบเรียลไทม์
1.19 Travel Information :· บริการตรวจสอบสายการบินในสหรัฐ รวมถึงรายงาน
สภาพอากาศของสนามบิน
1.20 · Weather : บริการตรวจสอบสภาพอากาศและการพยากรณ์อากาศในทุกรัฐของสหรัฐ
1.21 Web Page Translation : บริการแปลหน้าเอกสารภาษาอังกฤษเป็นภาษาอื่น ๆ

2. บริการในกลุ่ม Google Services Alerts :
2.1 Answer :·บริการแจ้งเตือนข่าวสารและผลการค้นหาผ่านอีเมล์แบบออนไลน์ บริการตอบคำถามให้กับคุณได้ทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ โดยนักวิจัยชื่อดังกว่า 500 คน
2.2 Blog Search : บริการค้นหาหัวข้อเรื่องที่เป็น Blog
2.3 Catalogs :·ในประเด็นที่คุณสนใจ บริการค้นหารายการสินค้าที่คุณสนใจและต้องการจะสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์
2.4 Directory : บริการค้นหาสาระสำคัญต่าง ๆ ที่อยู่บนเว็บไซต์
2.5 Labs :· บริการใหม่ ๆ ของ Google ที่คุณสามารถเข้าไปทดสอบใช้งานได้ฟรี ก่อนที่จะออกมาเป็นชุดเต็มของโปรแกรม
2.6 Mobile : บริการหลักของ Google· ที่สามารถนำไปใช้ได้กับเครื่องโทรศัพท์มือถือ เช่น บริการดัชนีค้นหาเอกสาร รูปภาพ หรือส่ง SMS
2.7 News : บริการรายงานข้อมูลข่าวสารใหม่ ๆ· จากทั่วทุกมุมโลกที่มีให้คุณได้อ่านก่อนใคร
2.8 Scholar :· บริการค้นหาเอกสารงานวิจัยใหม่ ๆ รวมทั้งบทคัดย่อจากห้องสมุดใหญ่ ๆ มากมาย
2.9 Special Searches : บริการค้นหาประเด็นสาธารณะในส่วนที่เป็นองค์กร หรือว่าสถาบันที่ไม่หวังผลกำไรต่างๆ รวมถึงบริการค้นหาเว็บไซต์ของสถานศึกษาต่าง ๆ ที่มีรายละเอียดในเรื่องของหลักสูตรการสอนและระเบียบวิธีการเข้าศึกษาต่อทั้งในระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย
2.10 Video : บริการค้นหารายการทีวีทางโทรทัศน์ เกมโชว์ มิวสิควิดีโอ ที่คุณสามารถเช่าชั่วโมงมาดูกันแบบออนไลน์ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณ

3. บริการในกลุ่ม Google Tools
3.1 Blogger :· เว็บไซต์ที่มีเครื่องมือสำหรับสร้าง Blogger ของคุณเอง
3.2 Code :· เครื่องมือสำหรับดาวน์โหลด APls และ Source code Desktop :· เครื่องมือสำหรับช่วยค้นหาไฟล์และข้อมูลต่าง ๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์
3.3 Earth : เครื่องมือที่ทำให้คุณสามารถค้นหาแผนที่โลกจากดาวเทียม
3.4 Gmail : บริการอีเมล์รุ่นทดสอบของ Google ที่มีความจุกว่า 2.6 กิกะไบต์
3.5 Pack : ชุดเครื่องมือรวมฮิตของ Google รวมถึงบราวเซอร์สุดเก่ง
3.6 Firetox Picasa : เครื่องมือสำหรับการบริหารและจัดการรูปภาพทั้งหมดที่มีอยู่ในคอมพิวเตอร์
3.7 Local for Mobile : เครื่องมือสำหรับค้นหาแผนที่ของสถานที่ต่าง ๆ บนโทรศัพท์มือถือ
3.8 Talk : เครื่องมือที่ทำให้คุณสามารถพูดคุย ส่งอีเมล์· กับเพื่อนของคุณแบบเรียลไทม์ออนไลน์
3.9 Toobar : กล่องเครื่องมือที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณสามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลได้โดยตรง โดยไม่ต้องเข้าไปที่เว็บไซต์ของ Google
3.10 Translate :· เครื่องมือที่ทำให้คุณสามารถดูเว็บไซต์ได้หลาย ๆ ภาษา
3.11 Labs :· กลุ่มของชุดเครื่องมือใหม่ ๆ ของ Google ที่คุณสามารถเข้าไปทดลองดาวน์โหลดได้ฟรี

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การจัดการความรู้

การจัดการความรู้
การจัดการความรู้ (อังกฤษ: Knowledge management - KM) คือ การรวบรวม สร้าง จัดระเบียบ แลกเปลี่ยน และประยุกต์ใช้ความรู้ในองค์กร โดยพัฒนาระบบจาก ข้อมูล ไปสู่ สารสนเทศ เพื่อให้เกิด ความรู้ และ ปัญญา ในที่สุด
การจัดการความรู้ประกอบไปด้วยชุดของการปฏิบัติงานที่ถูกใช้โดยองค์กรต่างๆ เพื่อที่จะระบุ สร้าง แสดงและกระจายความรู้ เพื่อประโยชน์ในการนำไปใช้และการเรียนรู้ภายในองค์กร อันนำไปสู่การจัดการสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการธุรกิจที่ดี องค์กรขนาดใหญ่โดยส่วนมากจะมีการจัดสรรทรัพยากรสำหรับการจัดการองค์ความรู้ โดยมักจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนกเทคโนโลยีสารสนเทศหรือแผนกการจัดการทรัพยากรมนุษย์
รูปแบบการจัดการองค์ความรู้โดยปกติจะถูกจัดให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์กรและประสงค์ที่จะได้ผลลัพธ์เฉพาะด้าน เช่น เพื่อแบ่งปันภูมิปัญญา,เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน, เพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน, หรือเพื่อเพิ่มระดับนวัตกรรมให้สูงขึ้น
เนื้อหา

1 นิยาม
2 ประเภทของความรู้
2.1 ความรู้แบบฝังลึก
2.2 ความรู้แบบชัดแจ้ง
3 ระดับของความรู้
4 กรอบแนวคิดการจัดการความรู้
5 การถ่ายทอดความรู้
6 การจัดการความรู้ กับการพัฒนาระบบราชการในประเทศไทย
6.1 การใช้ฐานความรู้ขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมฐานความรู้
7 อ้างอิง
8 แหล่งข้อมูลอื่น
//
[แก้] นิยาม
ปัจจุบันโลกได้เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based Economy – KBE) งานต่างๆ จำเป็นต้องใช้ความรู้มาสร้างผลผลิตให้เกิดมูลค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้น การจัดการความรู้เป็นคำกว้างๆ ที่มีความหมายครอบคลุมเทคนิค กลไกต่างๆ มากมาย เพื่อสนับสนุนให้การทำงานของแรงงานความรู้ (Knowledge Worker) มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น กลไกดังกล่าวได้แก่ การรวบรวมความรู้ที่กระจัดกระจายอยู่ที่ต่างๆ มารวมไว้ที่เดียวกัน การสร้างบรรยากาศให้คนคิดค้น เรียนรู้ สร้างความรู้ใหม่ๆ ขึ้น การจัดระเบียบความรู้ในเอกสาร และทำสมุดหน้าเหลืองรวบรวมรายชื่อผู้มีความรู้ในด้านต่างๆ และที่สำคัญที่สุด คือการสร้างช่องทาง และเงื่อนไขให้คนเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน เพื่อนำไปใช้พัฒนางานของตนให้สัมฤทธิ์ผล
[แก้] ประเภทของความรู้

มีการแนะนำว่า บทความนี้หรือส่วนนี้ควรย้ายไปรวมกับบทความ ความรู้ (อภิปราย) ดูเพิ่มที่ การรวมบทความ
ความรู้สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้สองประเภท คือ ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และความรู้แฝงเร้น (Tacit Knowledge) ความรู้ชัดแจ้งคือความรู้ที่เขียนอธิบายออกมาเป็นตัวอักษร เช่น คู่มือปฏิบัติงาน หนังสือ ตำรา ส่วนความรู้แฝงเร้นคือความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน ไม่ได้ถอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร หรือบางครั้งก็ไม่สามารถถอดเป็นลายลักษณ์อักษรได้ ความรู้ที่สำคัญส่วนใหญ่ มีลักษณะเป็นความรู้แฝงเร้น อยู่ในคนทำงาน และผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่อง จึงต้องอาศัยกลไกแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้คนได้พบกัน สร้างความไว้วางใจกัน และถ่ายทอดความรู้ระหว่างกันและกัน
[แก้] ความรู้แบบฝังลึก
ความรู้แบบฝังลึก (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ไม่สามารถอธิบายโดยใช้คำพูดได้ มีรากฐานมาจากการกระทำและประสบการณ์ มีลักษณะเป็นความเชื่อ ทักษะ และเป็นอัตวิสัย (Subjective) ต้องการการฝึกฝนเพื่อให้เกิดความชำนาญ มีลักษณะเป็นเรื่องส่วนบุคคล มีบริบทเฉพาะ (Context-specific) ทำให้เป็นทางการและสื่อสารยาก เช่น วิจารณญาณ ความลับทางการค้า วัฒนธรรมองค์กร ทักษะ ความเชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆ การเรียนรู้ขององค์กร ความสามารถในการชิมรสไวน์ หรือกระทั่งทักษะในการสังเกตเปลวควันจากปล่องโรงงานว่ามีปัญหาในกระบวนการผลิตหรือไม่
[แก้] ความรู้แบบชัดแจ้ง
ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่รวบรวมได้ง่าย จัดระบบและถ่ายโอนโดยใช้วิธีการดิจิทัล มีลักษณะเป็นวัตถุดิบ (Objective) เป็นทฤษฏี สามารถแปลงเป็นรหัสในการถ่ายทอดโดยวิธีการที่เป็นทางการ ไม่จำเป็นต้องอาศัยการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเพื่อถ่ายทอดความรู้ เช่น นโยบายขององค์กร กระบวนการทำงาน ซอฟต์แวร์ เอกสาร และกลยุทธ์ เป้าหมายและความสามารถขององค์กร
ความรู้ยิ่งมีลักษณะไม่ชัดแจ้งมากเท่าไร การโอนความรู้ยิ่งกระทำได้ยากเท่านั้น ดังนั้นบางคนจึงเรียกความรู้ประเภทนี้ว่าเป็นความรู้แบบเหนียว (Sticky Knowledge) หรือความรู้แบบฝังอยู่ภายใน (Embedded Knowledge) ส่วนความรู้แบบชัดแจ้งมีการถ่ายโอนและแบ่งปันง่าย จึงมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า ความรู้แบบรั่วไหลได้ง่าย (Leaky Knowledge) ความสัมพันธ์ของความรู้ทั้งสองประเภทเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน (Mutually Constituted) (Tsoukas, 1996) เนื่องจากความรู้แบบฝังลึกเป็นส่วนประกอบของความรู้ทั้งหมด (Grant, 1996) และสามารถแปลงให้เป็นความรู้แบบชัดแจ้งโดยการสื่อสารด้วยคำพูด
ตามตัวแบบของเซกิ (SECI Model) ความรู้ทั้งแบบแฝงเร้นและแบบชัดแจ้งจะมีการแปรเปลี่ยนถ่ายทอดไปตามกลไกต่างๆ เช่น การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การถอดความรู้ การผสานความรู้ และการซึมซับความรู้
การจัดการความรู้นั้นมีหลายรูปแบบ มีหลากหลายโมเดล แต่ที่น่าสนใจ คือ การจัดการความรู้ ที่ทำให้คนเคารพศักดิ์ศรีของคนอื่น เป็นรูปแบบการจัดการความรู้ที่เชื่อว่า ทุกคนมีความรู้ปฏิบัติในระดับความชำนาญที่ต่างกัน เคารพความรู้ที่อยู่ในคน เพราะหากถ้าเคารพความรู้ในตำราวิชาการอย่างเดียวนั้น ก็เท่ากับว่าเป็นการมองว่า คนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ เป็นคนที่ไม่มีความรู้
[แก้] ระดับของความรู้
หากจำแนกระดับของความรู้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ คือ
ความรู้เชิงทฤษฏี (Know-What) เป็นความรู้เชิงข้อเท็จจริง รู้อะไร เป็นอะไร จะพบในผู้ที่สำเร็จการศึกษามาใหม่ๆ ที่มีความรู้โดยเฉพาะความรู้ที่จำมาได้จากความรู้ชัดแจ้งซึ่งได้จากการได้เรียนมาก แต่เวลาทำงาน ก็จะไม่มั่นใจ มักจะปรึกษารุ่นพี่ก่อน
ความรู้เชิงทฤษฏีและเชิงบริบท (Know-How) เป็นความรู้เชื่อมโยงกับโลกของความเป็นจริง ภายใต้สภาพความเป็นจริงที่ซับซ้อนสามารถนำเอาความรู้ชัดแจ้งที่ได้มาประยุกต์ใช้ตามบริบทของตนเองได้ มักพบในคนที่ทำงานไปหลายๆปี จนเกิดความรู้ฝังลึกที่เป็นทักษะหรือประสบการณ์มากขึ้น
ความรู้ในระดับที่อธิบายเหตุผล (Know-Why) เป็นความรู้เชิงเหตุผลระหว่างเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆ ผลของประสบการณ์แก้ปัญหาที่ซับซ้อน และนำประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่น เป็นผู้ทำงานมาระยะหนึ่งแล้วเกิดความรู้ฝังลึก สามารถอดความรู้ฝังลึกของตนเองมาแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นหรือถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้พร้อมทั้งรับเอาความรู้จากผู้อื่นไปปรับใช้ในบริบทของตนเองได้
ความรู้ในระดับคุณค่า ความเชื่อ (Care-Why) เป็นความรู้ในลักษณะของความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ที่ขับดันมาจากภายในตนเองจะเป็นผู้ที่สามารถสกัด ประมวล วิเคราะห์ความรู้ที่ตนเองมีอยู่ กับความรู้ที่ตนเองได้รับมาสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาได้ เช่น สร้างตัวแบบหรือทฤษฏีใหม่หรือนวัตกรรม ขึ้นมาใช้ในการทำงานได้
[แก้] กรอบแนวคิดการจัดการความรู้


ตัวอย่างแผนผังอิชิคะวะ
แผนผังอิชิคะวะ (Ishikawa diagram) หรือแผงผังก้างปลา (หรือในชื่ออื่นของไทยเช่น ตัวแบบทูน่า หรือตัวแบบปลาตะเพียน) เป็นกรอบแนวคิดอย่างง่ายในการจัดการความรู้ โดยให้การจัดการความรู้เปรียบเสมือนปลา ซึ่งประด้วยส่วนหัว ลำตัว และหาง แต่ละส่วนมีหน้าที่ที่ต่างกันดังนี้
ส่วนหัวและตา (Knowledge Vision - KV) มองว่ากำลังจะไปทางไหน ซึ่งต้องตอบให้ได้ว่า "ทำ KM ไปเพื่ออะไร"
ส่วนกลางลำตัว (Knowledge Sharing - KS) ส่วนที่เป็นหัวใจให้ความความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ช่วยเหลือ เกื้อกูลกันและกัน
ส่วนหาง (Knowledge Assets - KA) คือ สร้างคลังความรู้ เชื่อโยงเครือข่าย ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ "สะบัดหาง" สร้างพลังจากชุมชนแนวปฏิบัติ
สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) ในประเทศไทย ได้พัฒนาตัวแบบทูน่าเป็น "ตัวแบบปลาตะเพียน" โดยมองว่าองค์การมีหน่วยงานย่อย ซึ่งมีความแตกต่างกัน รูปแบบความรู้แต่ละหน่วยจึงต้องปรับให้เหมาะสมกับบริษัทของตน แต่ทั้งฝูงปลาจะหันหน้าไปทิศทางเดียวกัน
กรอบความคิดของ Holsapple Holsapple ได้ทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับพัฒนาการของแนวคิดของการจัดการความรู้ 10 แบบมาประมวลซึ่งแสดงถึงส่วนประกอบของการจัดการความรู้ (KM elements) เพื่อนำไปจัดระบบเป็นองค์ประกอบหลัก 3 ด้านของการจัดการความรู้ (Three-fold framework) ได้แก่ ทรัพยการด้านการจัดการความรู้ กิจกรรมการจัดการความรู้ และอิทธิพลของการจัดการความรู้ และให้ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้ให้ข้อคิดเห็น วิจารณ์และข้อเสนอแนะ ได้ผลออกมาเป็นกรอบความร่วมมือ (Collaborative Framework)
[แก้] การถ่ายทอดความรู้
การถ่ายทอดความรู้ อันเป็นส่วนประกอบของการจัดการองค์ความรู้ ถูกประพฤติปฏิบัติกันมานานแล้ว ตัวอย่างรูปแบบการถ่ายทอดความรู้ เช่น การอภิปรายของเพื่อนร่วมงานในระหว่างการปฏิบัติงาน, การอบรมพนักงานใหม่อย่างเป็นทางการ, ห้องสมุดขององค์กร, โปรแกรมการฝึกสอนทางอาชีพและการเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งรูปแบบการถ่ายทอดความรู้มีการพัฒนารูปแบบโดยอาศัยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่กระจายอย่างกว้างขวางในศตวรรษที่ 20 ก่อให้เกิดเทคโนโลยีฐานความรู้, ระบบผู้เชี่ยวชาญและคลังความรู้ ซึ่งทำให้กระบวนการถ่ายทอดความรู้ง่ายมากขึ้น
[แก้] การจัดการความรู้ กับการพัฒนาระบบราชการในประเทศไทย
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อผลักดันแนวคิดธรรมาภิบาล (Good Governance) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมขึ้น ในมาตรา ๑๑ กำหนดว่า
ส่วนราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ในส่วนราชการ เพื่อให้มีลักษณะเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ โดยต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารและสามารถประมวลผลความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและเหมาะสมกับสถานการณ์ รวมทั้งต้องส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความสามารถ สร้างวิสัยทัศน์และปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการในสังกัดให้เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพและมีการเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการให้สอดคล้องกับการบริหารราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามพระราชกฤษฎีกานี้ จึงเป็นที่มาของการประเมินผลงานหน่วยราชการต่างๆ โดยมีการจัดการความรู้ เป็นข้อหนึ่งด้วย หน่วยราชการไทยจำนวนมากจึงเริ่มสนใจการจัดการความรู้ ด้วยสาเหตุนี้
[แก้] การใช้ฐานความรู้ขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมฐานความรู้
ในปัจจุบัน ในประเทศไทยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนหลายหน่วยงาน ได้ให้ความสำคัญและผลักดันกิจกรรมการจัดการความรู้ อาทิ
สถาบันอิสระ เช่น สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข (สรส.) มูลนิธิข้าวขวัญ (มขข.) มูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตร (มรพ.) นครสวรรค์ฟอรั่ม
ธุรกิจเอกชน เช่น บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ปูนซีเมนต์ แก่งคอย บริษัท สแปนชั่น ไทยแลนด์ จำกัด บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท เอ็น โอ เค พรีซิชั่น คอมโพเนนท์ (ประเทศไทย) จำกัด
สถานศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยนเรศวร, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, ภาควิชาพยาธิวิทยา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา, โรงเรียนเพลินพัฒนา
หน่วยราชการ เช่น สำนักงาน ก.พ.ร., กรมส่งเสริมการเกษตร, กรมอนามัย, กรมสุขภาพจิต, กรมราชทัณฑ์, สถาบันบำราศนราดูร,สำนักงาน ป.ป.ส.
ลานแลกเปลี่ยนเรียนรู้เสมือน Gotoknow พัฒนาโดยอาจารย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสนับสนุนโดยสคส.
เครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เช่น เครือข่ายการจัดการความรู้ระหว่างมหาวิทยาลัย (UKM, เครือข่ายเบาหวาน

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ระบบสารสนเทศ

1. การจัดการ (Management) หมายถึง กระบวนการที่ทําให้งานกิจกรรมต่างๆ สําเร็จลงได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลด้วยคนและทรัพยากรขององค์การ (Robbins and DeCenzo, 2004; Certo, 2003) ซึ่งตามความหมายนี้องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ ได้แก่ ขบวนการ (process) ประสิทธิภาพ (efficiency) และประสิทธิผล (effectiveness) กระบวนการ (process) ในความหมายของการจัดการนี้หมายถึงหน้าที่ต่างๆด้านการจัดการ ได้แก่ การวางแผน การจัดองค์การ การนําองค์การ และการควบคุม การบริหาร หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมมือกันดำเนินการ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายๆอย่างที่บุคคลร่วมกันกำหนดโดยใช้กระบวนอย่างมีระบบและให้ทรัพยากรตลอดจนเทคนิคต่างๆ อย่างเหมาะสม

2. นวัตกรรม” หมายถึง ความคิด การปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว ให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อนำนวัตกรรมมาใช้จะช่วยให้การทำงานนั้นได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วย ประหยัดเวลาและแรงงานได้ด้วย

3. เทคโนโลยีการศึกษา หมายถึง การประยุกต์หลักการวิทยาศาสตร์กายภาพและวิศวกรรมศาสตร์ให้เป็นวัสดุ เครื่องมือ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ในการเสนอ แสดง และถ่ายทอดเนื้อหาทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความหมายนี้พัฒนามาจากความคิดของกลุ่มนักโสตทัศนศึกษา
4. ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงของสิ่งที่เราสนใจ ข้อเท็จจริงที่เป็นตัวเลข ข้อความหรือรายละเอียดอาจอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ภาพ เสียง วีดิโอไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ข้อมูลเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และต้องถูกต้องแม่นยำ ครบถ้วน ขึ้นอยู่กับผู้ดำเนินการที่ให้ความสำคัญของความรวดเร็วของการเก็บข้อมูล ดังนั้นการเก็บข้อมูลจึงเป็นการเก็บรวบรวมเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสิ่งที่เราสนใจนั่นเอง ข้อมูลจึงหมายถึงตัวแทนของข้อเท็จจริง หรือความเป็นไปของสิ่งของที่เราสนใจ
ตัวอย่าง ข้อมูล ที่เป็นตัวเลข เช่น จำนวนนักเรียนโรงเรียนระยองวิทยาคม มี 3,853 คน
ข้อมูล ที่ไม่เป็นตัวเลข เช่น จากการสังเกตพบว่านักเรียนโรงเรียนระยองวิทยาคมส่วนใหญ่มาโรงเรียนสาย
ข้อมูลสถิติ ที่เป็นตัวเลข เช่น คะแนนโดยเฉลี่ยของนักเรียนระดับชั้น ม. 6 โรงเรียนระยองวิทยาคมคือ 2.64
ข้อมูลสถิติ ที่ไม่เป็นตัวเลข เช่น จากการสำรวจความพึงพอใจของผู้ปกครองพบว่าร้อยละ 61.5 มีความเชื่อมั่นและไว้วางใจโรงเรียนในเรื่องของการดูแลระเบียบวินัย
5. สารสนเทศ คือ สิ่งที่ได้จากการประมวลผลข้อมูลและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผน การตัดสินใจ การคาดการณ์ในอนาคต
ข้อมูล > ประมวลผล > สารนสนเทศ
6. ระบบสารสนเทศ คือ ระบบข้อมูล การจัดเก็บข้อมูล การประมวลผลข้อมูล การไหลข้อมูลภายในและภายนอกองค์กรและการนำเสนอสารสนเทศ ระบบสารสนเทศในโรงเรียน ได้แก่ เอกสาร คอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต การวัดผลประเมินผล สถิติ เป็นต้น สาเหตุที่ทำให้เกิดสารสนเทศ
1. เมื่อมีการเสนอสารสนเทศไปยังข้อมูลต่าง
2. เมื่อองค์กรมีขนาดใหญ่ขึ้น
3. เมื่อต้องการความแม่นยำ ถูกต้อง รวดเร็ว
4. เพื่อการวิจัย ตัดสินใจแก้ปัญหา
5. เพื่อตอบสนองความสนใจ ต้องการเข้าถึงสารสนเทศ
7. ระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษา หมายถึง เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
หมายถึง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับงานด้านการศึกษา อันได้แก่ การจัดเก็บข้อมูล และประมวลผลฐานข้อมูล การพัฒนาระบบสารสนเทศช่วยการเรียนการสอน การวางแผนและการบริหารการศึกษา การวางแผนหลักสูตร การแนะแนวและบริการ การทดสอบวัดผล การพัฒนาบุคลากร

8. การสื่อสาร (Communication) หมายถึง กระบวนการส่งข่าวสารข้อมูลจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร มีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้รับข่าวสารมีปฏิกริยาตอบสนองกลับมา โดยคาดหวังให้เป็นไปตามที่ผู้ส่งต้องการ องค์ประกอบของการสื่อสาร ประกอบด้วย 1. ผู้ส่งข่าวสาร (Sender) 2. ข้อมูลข่าวสาร (Message) 3. สื่อในช่องทางการสื่อสาร (Media) 4. ผู้รับข่าวสาร (Receivers) 5. ความเข้าใจและการตอบสนอง
9. เครือข่าย หมายถึง การแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือบริการกันระหว่างบุคคล กลุ่มหรือสถาบันการประสานงานรูปแบบหนึ่งที่โยงใยการทำงานของกลุ่มบุคคล หรือ องค์กรหลายองค์กร ซึ่งมีทรัพยากร มีเป้าหมาย มีกลุ่มสมาชิกของตนเอง ที่มีความคิด มีปัญหา มีความต้องการในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเหมือนกันหรือคล้ายกัน มาติดต่อประสานงานหรือร่วมกันทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง เพื่อแก้ไขปัญหาหรือสนองความต้องการในเรื่องนั้นๆ โดยยึดหลักการทำงานร่วมกันบนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน เคารพซึ่งกันและกัน มากกว่าการเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้มีอำนาจสั่งการ
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) คือระบบที่มีคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสองเครื่องเชื่อมต่อกันโดยใช้สื่อกลาง และสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและได้และใช้ทรัพยากรที่อยู่ในเครือข่ายร่วมกันได้ และทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก เช่น เวบ อีเมล FTP
10. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ Information and Communication Technology (ICT) หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และเทคโนโลยีการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ อย่างเหมาะสม เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ต้องการ
11. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา หมายถึง การนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาประกอบเข้ากับเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายโทรคมนาคมเชื่อมต่อเข้าหากัน ใช้ในการส่ง-รับข้อมูล และสื่อความรู้ โดยผ่านกระบวนการการประมวลผลหรือจัดทำให้อยู่ในรูปแบบที่มีความหมายและความสะดวกมาใช้ประโยชน์สำหรับการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง